นัด 24 ออนช๊อป
ID.@bwk1208w
ร้าน ใจชนะ เซอร์วิส
ติดต่อเรา


7 ขั้นตอนค้นหาไอเดียธุรกิจออนไลน์ สำหรับคนที่ไม่รู้จะทำธุรกิจอะไรดี


ถ้าคุณกำลังต้องการเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ แต่ไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไรดี
หรือจะมีก็เพียงความคิดแบบทั่วไป ว่าสินค้าอะไรที่คุณต้องการขาย บางที 7 ขั้นตอนนี้อาจจะทำให้สมองคุณแจ่มใส คิดได้ชัดเจนขึ้น

หากคุณยังไม่มีไอเดียเจ๋งๆ ว่าจะทำธุรกิจอะไรดี ขายสินค้าอะไรดี เรากำลังจะบอกวิธีสำรวจความคิดตัวคุณเอง วิธีการค้นหาไอเดียใหม่ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเองให้กับคุณ วิธีหาตลาดที่จะสามารถทำเงินให้กับคุณได้ คุณมีโอกาสสร้างรายได้จากความคิดของคุณได้มากเท่าไร และที่สำคัญยังมีช่องว่างในตลาดสำหรับธุรกิจของคุณอยู่หรือไม่

ต่อไปนี้คือ 7 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อสำรวจไอเดียในตัวคุณ

1. ถ้าคุณยังไม่มีความคิดว่าตลาดสินค้าหรือบริการประเภทไหนที่คุณต้องการจะไปทำธุรกิจ คุณจะต้องเริ่มคิดแล้วล่ะ จริงๆ แล้วคุณอาจจะมีความคิดที่จะทำธุรกิจอะไรอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ค่อยแน่ใจที่จะทำ แต่การจะเลือกทำธุรกิจอะไรก็ควรเลือกธุรกิจที่ทำให้คุณรู้สึกกระตือรือร้น สนุกสนาน อยากที่จะทำจริงๆ เพียงแค่นึกถึงว่าจะทำธุรกิจนี้ก็ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกว่าใช่เลยสำหรับคุณ

คุณต้องการประสบความสำเร็จใช่ไหม ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะใครๆ ก็อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จกันทั้งนั้น แต่การประสบความสำเร็จจะเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ถ้าคุณได้ทำในสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกสนุก อยากติดตาม อยากจะทำทุกๆ หน้า

ลองมารวบรวมความคิดว่างานอดิเรกอะไรที่คุณชื่นชอบ อะไรที่คุณสนใจเป็นพิเศษ ชอบเป็นพิเศษบ้าง ถ้าคุณสามารถค้นหาตัวเองได้แล้วว่าจริงๆ แล้วคุณมีความชื่นชอบอะไรเป็นพื้นฐานอยู่บ้าง แสดงว่าคุณเริ่มมีไอเดียแล้วล่ะว่าจะทำธุรกิจอะไร

2. เมื่อคุณรู้แล้วว่าอะไรคืองานอดิเรกหรืองานที่คุณชอบ ก็ลองคิดให้ลึกไปอีกนิดหนึ่งว่า คุณมีความรู้ทั่วๆ ไปเกี่ยวกับธุรกิจนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าคุณต้องการความรู้เพิ่มเติมจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่คุณรัก เรื่องที่คุณสนใจอยู่แล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องยากหรือเป็นสิ่งที่ฝืนใจคุณมากเท่าไรที่คุณจะเรียนรู้เพิ่มเติม

ตอนนี้มาถึงการระดมความคิดรอบที่ 2...ไปนำกระดาษเปล่าๆ มาสักแผ่น แล้วเขียนทุกอย่างที่คุณคิดเกี่ยวกับธุรกิจที่คุณอยากจะทำ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณสนใจลงไป แยกหัวข้อให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะไรสัมพันธ์กับธุรกิจไหนที่คุณสนใจ ในกรณีที่คุณมีไอเดียเหลือเฟือ มีความชอบหลายอย่าง

ทั้งนี้ คุณต้องรวมความคิดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อาจจะมีสักอย่างหนึ่งแหละในความคิดเหล่านั้นที่คุณสามารถนำมาพัฒนาต่อเป็นสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพมากพอที่จะนำมาขายบนเว็บไซต์ของตัวเอง

อย่างเช่น คุณอาจจะสนใจเรื่องอาหาร การลดความอ้วน การอบรม การทำโปสการ์ด โปสเตอร์ อยากเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า ของเล่น เครื่องเล่น กรงสัตว์ สถานที่เลี้ยงนก อาหารสัตว์ เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงคุณอาจจะมีไอเดียที่ต่างไปจากนี้ก็ได้ พยายามเขียนออกมาให้ได้มากที่สุดละกัน

3. ตอนนี้คุณคงมีเป้าหมายในการทำธุรกิจที่หลากหลาย มีสิ่งที่สนใจเยอะแยะไปหมด ดังนั้นคุณจึงต้องทดสอบความคิดของคุณที่เขียนใส่ไปในแผ่นกระดาษทั้งหมดว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ

ลองมานั่งคิดดูอย่างจริงๆ จังๆ ว่าธุรกิจอะไรจากไอเดียของคุณทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ที่มีความต้องการของตลาดมากพอ สามารถสร้างรายได้ สร้างผลกำไรให้กับคุณได้ บางทีธุรกิจที่คุณสนใจอาจจะเป็น Niche Market มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ให้ความสนใจ ตลาดอาจจะแคบ มีกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างชี้เฉพาะ เป็นกลุ่มตลาดที่ไม่ต้องการสินค้าที่แตกต่างกันเพื่อรองรับการใช้งานของคนหลายๆ ประเภท
วิธีตรวจสอบง่ายๆ ก็ลองเข้าไปค้นหาที่ Search Engine ของหลายๆ ค่าย แล้วพิมพ์คำว่า “word popularity search -คำที่นิยมใช้ในการค้นหา” ลงไป

จากนั้นคุณจะพบรายชื่อเว็บไซต์ที่ให้บริการเรื่อง Keyword อยู่มากมาย คุณก็เลือกที่ให้บริการฟรี ที่ที่คุณสามารถพิมพ์คำหรือกลุ่มคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่คุณสนใจลงไปได้มากเท่าที่คุณต้องการ
หลังจากพิมพ์ Keyword ที่ต้องการค้นหาลงไปแล้ว บนหน้าเว็บไซต์จะปรากฏความนิยมของกลุ่มคำที่คุณพิมพ์ลงไป ว่ามีคนใช้กลุ่มคำเหล่านี้เพื่อค้นหามากน้อยเท่าไร ซึ่งถ้าคุณสามารถนับจำนวนความนิยมที่ใช้คำหรือกลุ่มคำนั้นที่แสดงขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่า ก็แสดงสินค้าหรือธุรกิจที่คุณสนใจ คำที่คุณใช้ค้นหานั้นยังมีความต้องการของตลาดน้อยอยู่ คนไม่ค่อยให้ความสนใจค้นหามากนัก

4. ไอเดียที่คุณคิดขึ้นมา มีใครทำแล้วหรือยัง ก่อนหน้านี้อาจจะมีคนที่คิดเหมือนกับคุณอยู่แล้วก็ได้ แล้วก็มีการสร้างเว็บไซต์ทำธุรกิจอย่างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาแล้วก่อนหน้าคุณ เพราะว่าบนโลกอินเทอร์เน็ตนั้นมีเว็บไซต์อยู่เป็นล้านๆ เว็บ ถ้าคุณคิดจะทำธุรกิจที่มีไอเดียคล้ายๆ หรืออาจจะเหมือนกันเลยทีหลังคนอื่น ก็ต้องทำให้แจ๋วกว่า สวยกว่า มีจุดเด่นที่แตกต่างออกไป

คุณอาจจะเริ่มเหนื่อยใจเล็กๆ แต่อย่าท้อ เอาล่ะ...อะไรที่คุณต้องทำในตอนนี้ กลับไปที่หน้า Search Engine อีกครั้ง แล้วพิมพ์หลายๆ Keywords ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่คุณสนใจลงไป จากนั้นจะมีรายการเว็บไซต์ที่สัมพันธ์กับ Keywords ที่คุณค้นหาขึ้นมาให้ บางเว็บอาจจะเป็นคู่แข่งโดยตรง คราวนี้คุณก็เลือกสัก 2-3 อันดับ ที่ถูกจัดลำดับไว้แรกๆ แล้วจดชื่อเว็บไซต์เอาไว้

คราวนี้คุณไปที่หน้า Search Engine อีกครั้ง แล้วพิมพ์คำว่า “Traffic Ranking” แล้วคุณจะได้รับรายการชื่อเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลการจัดอันดับ จากนั้นคุณก็คลิกเข้าไปในเว็บไซต์นั้น แล้วใส่ชื่อเว็บไซต์ที่คุณจดไว้ในขั้นตอนที่ 3 พิมพ์ใส่ลงไป คุณก็รู้ว่าเว็บไซต์นั้นมีการเคลื่อนไหวภายในเว็บไซต์สูงหรือได้อันดับที่ดีในแง่ของ Traffic หรือไม่

การจัดอันดับ หมายถึงความนิยมของเว็บไซต์นั้นที่ได้รับจากโลกอินเทอร์เน็ต แต่ก็ไม่ได้มีความแม่นยำ 100% หรอก แต่อย่างน้อยก็เป็นดัชนีชี้วัดความนิยมอย่างหนึ่งจากเว็บไซต์ที่มีอยู่เป็นล้านๆ เว็บไซต์ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับไอเดียของคุณ นอกจากนี้คุณยังสามารถได้รายละเอียดข้อมูลจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ และจำนวนหน้า Page View ของหน้าเว็บไซต์นั้นได้อีกด้วย

5. ตอนนี้คุณก็จะหาเว็บไซต์ที่ได้อันดับที่ดีๆ และใกล้เคียง หรือตรงกับไอเดียของคุณแล้ว ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ก็คงเป็นคู่แข่งกับคุณโดยตรง มีการขายสินค้าเหมือนกัน หรือไม่ก็เป็นเว็บไซต์ก็เป็นเว็บท่า (Portal Sites)
โดยทั่วไปแล้วเว็บท่าจะไม่ขายอะไร แต่จะเป็นแหล่งที่รวมลิงค์ไปยังเว็บไซต์อื่น และมีการโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งหลายๆ ที่ก็มีเนื้อหาบนเว็บที่ดี

จุดสำคัญ
เมื่อคุณค้นหาด้วย Keywords ของคุณใน Search Engine คุณไม่ต้องย้อนกลับไปเพื่อค้นหาผลลัพธ์เป็นล้านๆ ครั้ง บางที Keyword ที่คุณใช้ค้นหานั้นอาจจะเป็นตลาดที่อิ่มตัวไปแล้ว แต่การมีเว็บท่าก็เป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งคุณสามารถใช้ประโยชน์จากเว็บท่านี้เพื่อช่วยสร้างธุรกิจของคุณได้ในภายหลัง
เช่นเดียวกัน เมื่อคุณใช้ Keyword ที่เป็นที่นิยมในการค้นหา คุณก็คงไม่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่บ่งบอกว่ามีคนเป็นร้อย เป็นพันที่ทำธุรกิจ-ขายสินค้าในแบบเดียวกัน เพราะว่านั่นก็คือคู่แข่งของคุณที่เหมือนว่าจะมากเกินไป

6. เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมถูกจัดอันดับอยู่ในระดับต้นๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีข้อได้เปรียบมากกว่าเว็บอื่น

ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่คุณจะมีศักยภาพในการคิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาได้มากเท่าไร คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสินค้า และพัฒนาเว็บไซต์ที่คุณจะทำให้เจ๋งกว่าคนอื่นที่เขาทำมาก่อนหน้าคุณได้หรือไม่
วิธีง่ายๆ ก็เข้าไปที่เว็บไซต์ที่คาดว่าจะเป็นคู่แข่งของคุณ ทำการตรวจสอบสินค้าและราคาให้ละเอียดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เอามาประมวลผลดูว่า คุณจะทำอะไรให้แตกต่างและมีประโยชน์มากกว่าเว็บไซต์อื่นๆ ได้บ้าง หรือจะทำอะไรที่จะสามารถสร้างโอกาสการทำรายได้ให้กับคุณได้มากขึ้น

ลองมองไปรอบๆ ตัวเองสักพักหนึ่ง แล้วมองดูว่าเว็บไซต์เหล่านั้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างไร ใครที่สามารถซื้อใจลูกค้าได้ ลูกค้ายอมเทใจจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าของเขา ซึ่งอาจจะซื้อแบบครั้งแล้ว ครั้งเล่า เพราะติดใจในสินค้าและบริการ สินค้าอะไรในกลุ่มธุรกิจที่คุณต้องการทำที่ผู้คนสนใจซื้อ ซึ่งถ้าคุณจะขายสินค้าในแบบเดียวกัน ก็ต้องมีคุณภาพที่ดีกว่าหรือเทียบเท่า มีบริการที่ดี สามารถเล็งเห็นคุณประโยชน์ หรือสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าได้เพิ่มขึ้น


7. ในวันที่คุณกำหนดกลุ่มตลาดเป้าหมาย คุณจำเป็นต้องขยายกลุ่มตลาดที่มีความสัมพันธ์กับสินค้าของคุณให้เพิ่มขึ้นด้วย

ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นคนที่ชอบเลี้ยงนกแก้วสวยๆ ก็เลยอยากจะทำธุรกิจเกี่ยวกับขายกรงนกแก้ว ต่อมาคุณก็สามารถขยายธุรกิจของคุณจากการแค่ขายกรงนกแก้ว ก็มาเริ่มขายอาหารนกแก้ว รวมทั้งอาหารนกชนิดอื่นๆ ด้วย อย่างนกพิราบ นกเขาใหญ่ เป็นต้น เท่านั้นยังไม่พอ คุณยังเป็นคนหนึ่งที่ชอบการถ่ายรูป ก็สามารถถ่ายรูปนก รูปสัตว์ต่างๆ ที่คุณชอบ แล้วมาทำเป็นโปสเตอร์รูปนกต่างๆ เสนอขายเพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งนั่นก็จะทำให้ธุรกิจของคุณครอบคลุมตลาดได้มากขึ้น สร้างความพิเศษและแตกต่างกว่าเว็บไซต์อื่นๆ

แต่ทั้งนี้การเติบโตทางธุรกิจก็จำเป็นที่จะต้องอยู่รอดให้ได้ในระยะยาวด้วย
นี่เป็นหลักเกณฑ์ที่ควรพิจารณาเพิ่มเข้าไป เมื่อเริ่มกำหนดกลุ่มตลาดเป้าหมาย ถ้าคุณไม่ต้องการเป็นแค่เว็บไซต์ที่ถูกชื่นชอบเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่อยากเป็นดอกไม้ริมทางที่ให้คนเข้ามาเชยชมเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จากไป

มีหลักเกณฑ์อยู่ 2 ข้อ ที่จะช่วยค้นหาตลาดที่มีโอกาสเติบโต ซึ่งตรงกับที่คุณต้องการ

a) ในกระบวนการค้นหาด้วย Keyword ยอดฮิต จะต้องเลือกคำที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของสินค้าหรือธุรกิจที่คุณจะทำจริงๆ ถ้าไอเดียที่คุณจะทำธุรกิจประเภทนั้นเป็นที่ต้องการของตลาด คุณก็มีโอกาสเติบโตต่อไปในอนาคต แต่ถ้าคุณต้องดิ้นรนหา Keywords ที่มีความสัมพันธ์กัน ก็คงต้องกลับไประดมความคิดอีกรอบ หรือไม่ก็ลองค้นหาจากอินเทอร์เน็ตด้วยการใช้ “Keyword Mapping” จากเว็บไซต์ที่มีให้บริการ

b) มองหาว่าคู่แข่งของคุณขายสินค้าอะไร ถูกจัดอันดับไว้ในระดับดีๆ หรือไม่ มีการขยายไปในทางที่จะเป็นเจ้าของตลาดสินค้านั้นรายเดียวหรือไม่ แล้วเว็บไซต์เหล่านั้นมีความสามารถในการขายสินค้ามากแค่ไหน จากนั้นคุณก็เอามาประมวลผลดูว่าจะทำให้แตกต่างออกไปได้อย่างไรบ้าง

บทสรุป

ไอเดียของคุณต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้ เพราะมันจะสร้างรายได้กลับมาให้คุณได้
· มีกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง
· ไอเดียของคุณต้องสามารถกลับมาสร้างเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม
· กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้ต้องยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวของตลาด
· ราคาและคุณภาพให้มีศักยภาพมากพอที่จะแข่งขันได้
· ยังมีที่ว่างให้ขยายตลาดและเติบโตในตลาดนั้นได้อีกมาก

และนี่คือการตามล่าค้นหาไอเดียที่จะมาสร้างรายได้ให้กับคุณเพิ่มขึ้น...เค้นไอเดียแจ่มๆ ออกมาให้ได้ เพื่อเงินทองที่รอคุณอยู่


ที่มา http://www.ecommerce-magazine.com  

วันที่เขียนบทความ: 21 ธันวาคม 2555 เวลา: 08:59:10 น.
วันที่ปรับปรุงบทความ: 21 ธันวาคม 2555 เวลา: 08:59:10 น.



กลับหน้าบทความ